เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ พ.ย. ๒๕๕๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมเนาะ ธรรมะเพื่อเตือนตัวเองไง ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมคือความจริงใจในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันมีสัจจะมีความจริง มันจะเคลียร์ปัญหาในใจเราได้ นี่ถ้ามันเคลียร์ปัญหาในใจเราได้

“ที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั่นมีชีวิต” คนโบราณเขาสร้างบ้านสร้างเมือง เขาหาแหล่งน้ำของเขา ที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั่นมีชีวิตนะ ถ้ามีชีวิตขึ้นมา ดูสิ ถ้าเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารมันมีชีวิต แต่มันไม่มีวิญญาณครอง มันก็ยังมีการแข่งขันกันนะ มันแข่งขันเพื่อความดำรงชีวิตของมัน มนุษย์อาศัยสิ่งนั้นเป็นอาหาร

“ที่ใดมีแหล่งน้ำ ที่นั่นมีชีวิต” เพราะอะไร เพราะมนุษย์มีอาหาร ถ้ามีอาหาร มีการแข่งขัน ถ้ามีการแข่งขัน มีการแข่งขันก็เพื่ออะไร? เพื่อความเจริญงอกงาม ถ้าไม่มีการแข่งขันมันก็ไม่มีการพัฒนา การพัฒนาขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์กับสิ่งที่มีชีวิต

ถ้ามีชีวิต มีการแข่งขัน ถ้ามันเอากิเลสตัณหาความทะยานอยาก เอาความเห็นแก่ตัวเข้าไปแข่งขัน พอเข้าไปแข่งขัน สังคมนั้นมันก็มีความกระทบกระเทือนกัน ฉะนั้น ถึงต้องมีสัจธรรมๆ ไง สัจธรรมคือสัจจะความจริง สัจจะความจริงของอะไร

สัจจะความจริงของธรรมมันไม่ลำเอียงเคียงข้างใครหรอก นี่สัจธรรม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน สาวกสาวกะได้ยินได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน มันลำเอียงกับใครล่ะ? มันไม่ลำเอียงกับใครหรอก ทุกชีวิตมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน เท่ากัน ถ้าทุกชีวิตมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน สัจธรรมอันนั้นมันถึงไม่ลำเอียงต่อกัน นี้เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อให้ใจเรามีคุณธรรม ถ้ามันมีสัจธรรมในหัวใจ

“ที่ไหนมีแหล่งน้ำ ที่นั่นมีชีวิต” สิ่งที่มีชีวิตเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันก็ยังมีการแข่งขันกัน มันต้องการแสงแดด ต้องการแหล่งน้ำเพื่อความเจริญงอกงามของมัน แล้วถ้ามันมีจำนวนมากกว่า มันกลายพันธุ์ มันควบคุมพืชอื่นไม่ให้เจริญงอกงามขึ้นมาได้ นี่การแข่งขันของพืช การแข่งขันของพืชมันยอมจำนนของมันโดยธรรมชาติของมัน

สิ่งมีชีวิต ดูสัตว์สิ ดูนก ฤดูกาลมันอพยพ มันอพยพเพราะอะไร ในเมื่ออุณหภูมิมันเปลี่ยนแปลง มันต้องหาที่อบอุ่นของมัน มันหาแหล่งอาหารของมัน เห็นไหม สัตว์มันยังอพยพย้ายถิ่นเป็นฤดูกาลของสัตว์

มนุษย์ถ้ามีปัญญา มนุษย์มีปัญญา เห็นไหม ดูสิ จะครองโลกๆ เพราะโลกมันคับแคบ เดี๋ยวนี้โลกมันแคบเกินไปแล้ว มนุษย์จะหาทรัพยากรจากอวกาศ เอาแร่ธาตุต่างๆ จากดวงดาวต่างๆ มาใช้ในโลกนี้ เห็นไหม มนุษย์มีปัญญาขนาดนั้น

แต่มนุษย์ไม่มีปัญญารู้เท่าทันตัวเอง ถ้าไม่รู้เท่าทันตัวเอง การแข่งขัน การทำเพื่อโลก ถ้าสัจธรรม นักวิทยาศาสตร์ที่เขาคิดกันมาเพื่อความเป็นอยู่ของโลก เพื่อให้โลกนี้มีการใช้สอย เพื่อความดำรงชีวิต คุณภาพชีวิตๆ นี่นักวิทยาศาสตร์เขาคิดกันแบบนั้น

แต่เดิมเวลาเกิดโรค เวลาโรคห่าระบาด ตายกันครึ่งค่อนโลกนะ นี่เวลาวิทยาศาสตร์มันเจริญ วิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้นมา เพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันเป็นการปรับสมดุลของมัน แต่วิทยาศาสตร์มันเจริญ ดูสิ มนุษย์มีการรักษาพยาบาลต่างๆ ขึ้นมา มนุษย์มีมากขึ้น มีการแข่งขันมากขึ้น วิทยาศาสตร์ๆ วิทยาศาสตร์คือคุณภาพชีวิตๆ

แต่ถ้ามีคุณธรรมในใจนะ สิ่งมีชีวิตต้องมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ คุณธรรมในหัวใจที่ไหนล่ะ เห็นไหม ดูสิ เวลาว่าสิ่งที่มันมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน ความเสมอกัน ถ้าใครมีสติมีปัญญา มันยับยั้งใจของตัวเองได้ไง นี่เราอยู่ในสภาพใด กรรมเก่า กรรมใหม่ ในเมื่อกรรมเก่ามันเกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศนี่สภาคกรรม คราววาระ คราวที่มันเป็นไป มันเป็นไปอย่างนี้ เรามีสติมีปัญญา เราอยู่ในสภาพแบบนี้ นี่อยู่กับโลกโดยไม่ทุกข์ไปกับโลกไง

“อยู่กับโลกแล้วไม่ทุกข์ไปกับโลก ไม่ต้องดิ้นรนใช่ไหม”

อยู่กับโลก ไม่ทุกข์ไปกับโลก แต่ก็ดิ้นรน ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตเรารอด เอาชีวิตเรารอดทำไม ดูธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ เสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราเสียทรัพย์ขึ้นมาเพื่อรักษาความเป็นอยู่ของเรา

เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ไปโรงพยาบาล สิ่งใดที่เป็นพิษเป็นภัยเขาตัดทิ้งๆ เห็นไหม นี่เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

เวลาถึงที่สุด เสียชีวิตรักษาธรรม สละชีวิตเลย สละชีวิตเพราะอะไร เพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเอาสิ่งนี้มาล่อลวงไง จะเป็นจะตาย ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ นี่สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม

ถ้ามันได้รักษาธรรมจริงๆ มันมีสิ่งใดที่มันแปรปรวน? มันไม่มีสิ่งใดที่แปรปรวน ฉะนั้น สิ่งที่เป็นคุณธรรม คุณธรรมมันอยู่ที่นี่ ถ้าคุณธรรมอยู่ที่นี่ เห็นไหม เราศึกษาธรรมๆ ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนไม้ๆ โคนไม้มันมีประโยชน์อะไรล่ะ

เขาแสวงหาทางโลก เขาได้ทรัพย์สมบัติของเขามาถึงเป็นประโยชน์ของเขาใช่ไหม ไอ้นั่นมันเป็นวัตถุธาตุ มันจำเป็นไหม? มันจำเป็นกับการดำรงชีวิตไง เพราะอะไร เพราะร่างกายนี้เป็นธาตุ ๔ แต่ความรู้สึกของคน หัวใจมันต้องการสิ่งใด ต้องการสิ่งใด? ต้องการคุณธรรม คุณธรรมคือศีลธรรมจริยธรรม

ศีลธรรมจริยธรรม ก็บอก “เราก็ทำดีแล้วไง ดูสิ เราถือศีล ๕ เรามีศีลมีธรรมแล้ว เราไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เราเป็นคนดีๆ”

วัตถุธาตุมันก็ไม่ทำสิ่งใด มันก็ไม่เบียดเบียนใครเหมือนกัน เวลาเรารักษาศีลแล้ว นี่รักษาศีลมันต้องมีคุณธรรมด้วย ไม่ทำลายสัตว์ ไม่ทำลายกัน ไม่ทำลายสัตว์แต่ก็ต้องมีเมตตาด้วย ไม่ทำลายสัตว์ เวลาเขาตกทุกข์ได้ยากก็มองดูเขาใช่ไหม นั่งดูทอดอาลัยตายอยากหรือ ถ้าเขาตกทุกข์ได้ยาก เราช่วยเหลือเจือจานได้ เห็นไหม

“ศีลธรรม” ศีลคือความปกติ ศีลธรรมจริยธรรม ถ้ามีธรรม มีคุณธรรมขึ้นมา มีคุณธรรมสิ่งนั้นขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมี จิตใจของเรานะ เวลามันตกทุกข์ได้ยาก มันบีบคั้นหัวใจ กิเลสมันตกทุกข์ได้ยาก มันบีบคั้นหัวใจ มันทำสิ่งใดล่ะ? มันไม่ทำสิ่งใด มันมีสติปัญญา มันแยกแยะ มันแยกถูกแยกผิด แล้วดูแลหัวใจของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ถ้าเราได้จุนเจือเขา ถ้าเรามีกำลังพอ เราทำได้ เราจุนเจือเขา มันมีความอบอุ่น มีความชื่นใจไง ผู้ให้ๆ เวลาผู้ให้มันมีความชุ่มชื่นใจ หัวใจมันมีการเปลี่ยนแปลง หัวใจพัฒนาขึ้นมา เขาเรียกว่า “บารมี”

คนเราเวลามีบารมีธรรม เวลาคนทำธุรกิจการค้า ทำไมบางคนประสบความสำเร็จ ทำไมบางคนมันทุกข์ๆ ยากๆ ขึ้นมา นี่บารมีของเขา เขาได้สร้างของเขามาอย่างนั้น ถ้าเขาสร้างของเขามาอย่างนั้น สร้างมาอย่างนั้นมันก็เป็นกรรมเก่า เป็นอดีตชาติ เป็นสิ่งที่เราสะสมมาเป็นจริตนิสัย นิสัยสันดานของคนมันไม่เหมือนกัน แต่ถ้ากรรมเก่ามาแบบนั้น นี่พันธุกรรมของมัน ถ้าปัจจุบันเราฟังธรรมๆ เราก็แก้ไขของเรา

คนที่สร้างบุญกุศลมา มีอำนาจวาสนามา เขาทำสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จของเขา เวลาเขาภาวนาของเขา จิตเขาสงบได้ง่าย เวลาเขาใช้ปัญญาแยกแยะของเขา เขามีปัญญาของเขา เขาเกิดวิปัสสนาญาณของเขา เขาจะเห็นคุณธรรมในใจของเขา

ถ้าเห็นคุณธรรมในใจของเขา นี่ไง มนุษย์มีการแข่งขันไง สิ่งมีชีวิตมีการแข่งขันไง แต่ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา มันทำคุณงามความดีของมันไง ถ้าทำความดีขึ้นมา เห็นไหม “สูงสุดสู่สามัญ” มนุษย์เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

สัตว์ ๒ เท้า นี่มนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่สุดเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนไม้ โคนต้นโพธิ์ ใช้อาสวักขยญาณทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา

อวิชชาคือความไม่รู้ เราไม่รู้เรื่องอะไรล่ะ เราไม่รู้อะไรเราก็ศึกษาสิ เห็นไหม เราไม่รู้เรื่องทางวิทยาศาสตร์ ไม่รู้เรื่อง เราก็ศึกษาของเราสิ แต่มันไม่รู้จักตัวมันเองไง

แล้วพอไม่รู้จักตัวมันเอง มันจะย้อนกลับเข้ามา นี่ไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชา อวิชชามันครอบงำหัวใจ พอครอบงำหัวใจ มันมืดบอด มีแต่ทิฏฐิมานะว่าเราคิดถูก เราคิดถูกต้องดีงามทั้งนั้นแหละ ความคิดถูก ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปยึดมาว่าเรารู้เราเห็น พอรู้เห็นขึ้นมามันเป็นอย่างไรล่ะ รู้ เห็น นี่ไปยึดว่าเรารู้เราเห็น มันก็เลยไม่รู้ไง

ถ้ามีความจริงขึ้นมา ความจริงอย่างนี้มันจะย้อนกลับเข้ามา ถ้ามีคุณธรรมอย่างนี้ สิ่งที่สัจธรรมๆ สิ่งที่ว่าความไม่รู้ อวิชชาๆ อวิชชาคือความไม่รู้ตัวมันเอง เราบอกเราไม่รู้ เราก็ศึกษาให้รู้สิ

ศึกษาให้รู้มันก็เป็นปริยัติ ปริยัติขึ้นมา ดูสิ พ่อแม่ พ่อแม่คนไหนไม่รักลูก รักลูกทั้งนั้นแหละ อยากให้ลูกฉลาด อยากให้ลูกมีปัญญาทั้งนั้นแหละ เวลาสั่งสอนขึ้นไปเราต้องอบรมบ่มเพาะ เวลาเราเลี้ยงลูกขึ้นมา อยากให้ลูกเป็นคนดี เป็นคนดี มีความสุขพอ แต่ถ้าเขาเป็นคนดี มีความสุขของเขา แล้วเขาทำหน้าที่การงานของเขาประสบความสำเร็จของเขา เราก็ชื่นใจด้วย

แต่ถ้าเขาเป็นคนดี เขามีความสุขของเขา เขาพอใจของเขา เขาทำอะไรของเขา มันต้องมีการบ่มเพาะดูแลกันมา จิตใจของเราๆ เราจะปฏิบัติขึ้นมา เราจะไปศึกษามา ดูสิ ในโลกนี้มีผู้ที่ประสบความสำเร็จเยอะแยะมหาศาลเลย เขาก็เขียนตำรับตำราไว้ เป็นทางวิชาการไว้ เราก็ศึกษาของเรา เราก็ไปทำให้ได้อย่างนั้น บางคนก็ทำได้อย่างนั้น บางคนทำได้ดีกว่านั้น บางคนทำแล้วก็ไม่ได้อย่างนั้น เพราะอะไร เพราะจังหวะและโอกาส นี่อำนาจวาสนาของคนมันก็มี แต่อำนาจวาสนาของคนมันต้องมีความเพียรๆ ความเพียร ความวิริยอุตสาหะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้ำที่นี่นะ

บอกว่า กรรมเก่า กรรมใหม่ แล้วพอกรรมเก่าแล้วก็โยนให้มันไปเลยนะ คนเรามีกรรมแล้วก็นอนทอดหุ่ยไปเลย ชีวิตก็ทุกข์ยากไปอย่างนั้นแหละ

มันจะทุกข์ยากขนาดไหน เวลานักปฏิบัติจะรู้ เวลาเขาปฏิบัติกัน ๕ ปี ๑๐ ปี เขามุมานะของเขา เขาทำของเขา นี่คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรนี่ความเพียรชอบ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องดีงาม แต่นี้มันมีอวิชชา มันมีความไม่รู้ มันจะดีงามไปได้อย่างไรล่ะ มันก็มุมมองจากใจเรานี่แหละ

ดูสิ เราใส่แว่นตาสีใดเราก็มองภาพเป็นสีนั้นแหละ จิตใจของเรา จริตนิสัย สันดานของคนเป็นอย่างไร มันก็มองธรรมะเป็นอย่างนั้นแหละ เขาก็ตีความแตกต่างกันไป แว่น นี่ไง พันธุกรรมของมันๆ แล้วก็บอกดีงามๆ...ดีงามของความไม่รู้ ดีงามของอวิชชาไง

เราก็ใช้สติปัญญาของเราแยกแยะ แยกแยะของเรา ถ้ามันสงบเข้ามา นี่ใช้ปัญญาของเรา สิ่งมีชีวิตเขาต้องแข่งขันกันด้วยความดำรงชีวิตของเขา มีชีวิตแล้ว ชีวิตนี้สำคัญมาก มนุษย์มีความสำคัญมาก เพราะอะไร เพราะมีร่างกาย ทุกคนมีร่างกายเหมือนกันนะ ร่างกายนี้มันต้องการอาหาร เราเหนื่อยยาก เราก็ต้องการน้ำ เวลาเราเหนื่อยขึ้นมา สูญเสียน้ำ เราก็ต้องการน้ำ พอเราหิวกระหาย เราก็ต้องการอาหาร นี่ธาตุมันต้องการ นี่มนุษย์สำคัญ เห็นไหม ธาตุ ๔ พิจารณาให้มันเป็นไตรลักษณ์ๆ พิจารณาให้มันแปรปรวนให้เป็นสภาพตามความเป็นจริงของมัน

แต่ถ้ามันมีปัญญาขึ้นมา เรามีปัญญา มันบีบคั้นเรานะ ทุกคนต้องมีอาชีพ ทุกคนต้องมีหน้าที่การงานเพื่อดำรงชีวิต ชีวิตมันคืออะไร ชีวิตมันคืออะไร? ชีวิตมันคือปฏิสนธิจิต ชีวิตคือพลังงานตัวนั้น พลังงานตัวนั้นมันตั้งอยู่บนไออุ่น ตั้งอยู่บนกาลเวลา ถ้ามันสืบต่อ เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้ามันไม่ตั้งอยู่บนกาลเวลา มันแยกจากกาลเวลาออกไปมันก็ตาย

พอมันตายไปแล้วมันแยกจากกาลเวลาไปได้ไหม ตายจากเราไป มันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดในนรกอเวจี มันก็มีเวลาของมัน เห็นไหม ๑๐๐ ปีของเรา เท่ากับเทวดา ๑ วัน นี่กาลเวลามันแตกต่างกัน มิติมันแตกต่างกันไป วัฏฏะมันเป็นแบบนี้

ฉะนั้น ชีวิตเวียนตายเวียนเกิดขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันเวียนตายเวียนเกิดขึ้นมา ถ้ามีสติมีปัญญาจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับมาดูที่ใจของเรา ที่ว่ามนุษย์มีคุณค่า มีคุณค่าเพราะมีร่างกายมันบีบคั้น มันบีบคั้นว่าเราต้องดำรงชีวิต เราต้องหาอยู่หากิน เทวดา อินทร์ พรหมเขาเป็นทิพย์ของเขา เขากินอาหารทิพย์

อาหารทิพย์คือวิญญาณาหาร คือความอิ่มใจ นึกได้ทันที นึกได้หมด เพราะเขาไม่มีร่างกาย เขาไม่มีกายหยาบ เขาไม่มีธาตุ ๔ เพราะไม่มีธาตุ ๔ มันไม่ต้องการธาตุเข้าไปดำรงชีวิตของมัน

ฉะนั้น มนุษย์ที่มีคุณค่า มีคุณค่าที่นี่ เพราะมันเตือนตลอด คนที่มันทุกข์ยาก ถ้าเราขาดแคลนอาหาร เราทุกข์ยากมาก ถ้าเราได้อาหารมื้อหนึ่งจากใคร เราจะซาบซึ้งบุญคุณของเขา เขาสืบต่อชีวิตของเราไง แต่ถ้าเรามีอาหาร ทุกอย่าง ปัจจัย ๔ เราพร้อม แล้วหัวใจเราล่ะ ถ้ามีคุณธรรม คุณธรรมเป็นแบบใด

ถ้าคุณธรรมขึ้นมา สิ่งที่ว่าสัมมาอาชีวะๆ สัมมาอาชีวะของเรา เราก็หาอยู่หากินโดยสัมมาอาชีวะ โดยความถูกต้องดีงาม โดยสุจริตยุติธรรม สิ่งนี้เป็นสัมมาอาชีวะ แต่เวลาปฏิบัติไป กิเลส สัมมาอาชีวะถูกต้อง ทุกคนจะบ่นเลย ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี สัมมาอาชีวะทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ ถ้ามันทุกข์ยากขนาดนี้ นี่มิจฉาอาชีวะแล้ว

เพราะคิดว่ามันทุกข์ยาก นั่นล่ะคือวิญญาณาหาร นั่นล่ะคือความคิด ความคิด ใจเสวยอารมณ์ ใจเสวยความคิด วิญญาณาหารนั้นเป็นอาหารของมัน นี่อาหารเป็นพิษๆ

พออาหารเป็นพิษขึ้นมา ถ้าพุทโธๆ พุทธานุสติ อาหารเป็นคุณ เวลาพุทโธๆ เราไม่ให้มันคิดไปตามนั้น เห็นไหม อาหารที่เป็นคุณ สิ่งที่เป็นอาหาร อาหารดำรงชีวิตใช่ไหม พุทโธๆๆ จนละเอียดเข้ามา จนมันทิ้งหมด มันอยู่โดยตัวมันเอง มันไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเลย นี่สัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะคือความรู้สึกนึกคิดภายใน ถ้าความรู้สึกนึกคิดภายใน นี่มันแสดงตัวขึ้นมา

ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ เราไม่รู้ว่าใจเราอยู่ไหน เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราจะเห็นร่างกายเรา เราจะเห็นความรู้สึกนึกคิด แต่ความรู้สึกมันก็จับความรู้สึกไม่ได้ แต่มีสติปัญญามันไล่เข้ามาๆ นี่มันสงบ มันปล่อยวางเข้ามาๆ มันพุทโธจนพุทโธไม่ได้เลย มันเป็นตัวของมันเองเลย นี่ถ้ามันเป็นของมันโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม

นี่ไง สิ่งที่ว่าถ้ามันคิดน้อยเนื้อต่ำใจ นั่นเป็นพิษ ถ้ามันคิดเพื่อสัจธรรมๆ ขึ้นมา คนเราต้องมีสัจธรรม คุณธรรม ถ้ามีในใจขึ้นมา มันมีธรรมในใจขึ้นมา มันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา ยกขึ้นใช้วิปัสสนาญาณ ใช้ปัญญาแยกแยะ แยกแยะในอะไร ถ้าจิตมันสงบแล้วมันมีสติขึ้นมา มันจับต้องได้ มันรู้สึกตัวของมันเอง มันก้าวเดินของมันไป นี่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนาคือใช้ปัญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณ สติปัญญาที่เป็นญาณหยั่งรู้ ความเห็นจากภายใน ไม่ใช่ความนึกคิดอย่างเรา ถ้าความนึกคิดอย่างเรา เราก็มีปัญญาๆ เราก็ศึกษามาแล้วเราก็มีปัญญา นี่สัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะจากภายนอก แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่สัจธรรม มรรคญาณ ถ้าจักรมันหมุน ปัญญามันหมุนขึ้นไป มันจะเห็นความมหัศจรรย์ของใจนะ

เราก็เห็นว่าธาตุ ๔ ต้องกินอาหารใช่ไหม ธาตุ ๔ ของเรามันต้องมีอาหารเข้าไปจุนเจือมัน แล้วหัวใจที่มันทุกข์มันยากนี่ หัวใจเราก็ไม่รู้จักมัน พอทำความสงบเข้าไป เรารู้จักหัวใจของเรา แล้วถ้าเกิดปัญญาญาณขึ้นมามันก็มีอาหารของมัน นี่ไง อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ ญาณที่เข้าไปชำระล้างมัน เข้าไปเติมเต็มความเป็นจริงในหัวใจ มันแยกแยะของมัน มันพิจารณาของมัน

เวลามันปล่อย ปล่อยเป็นครั้งเป็นคราวๆ พิจารณาต่อเนื่องกันไป ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านคอยส่งเสริมขึ้นไป พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถึงที่สุดเวลามันขาด เห็นไหม ความจริงเป็นที่นี่ พอมันขาดขึ้นมา นี่เป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมคือมั่นคง คงที่กับใจดวงนั้น

จากใจที่มันลุ่มๆ ดอนๆ ใจที่ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เวลามันมีคุณธรรมขึ้นมา มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธรรมอย่างนี้ แล้วถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันเป็นจริงอันเดียวกัน ถ้าเป็นจริงอันเดียวกัน สิทธิเสรีภาพเหมือนกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เป็นศาสดาของเรา เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้เราเป็นมนุษย์ เราก็เป็นสัตว์ ๒ เท้าเหมือนกัน เราก็มีสติปัญญาเหมือนกัน แต่เรามีการศึกษาขึ้นมา ศึกษาทางโลกขึ้นมามันเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เราก็ไปยึดว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆ แล้วพุทธศาสน์ๆ ความเป็นจริง สิ่งที่รู้อย่างนี้มันก็ปล่อยวางอย่างนี้

ชีวิตคืออะไร ชีวิตคืออะไร ชีวิตมาจากไหน แล้วปัจจุบันนี้มันคืออะไร แล้วตายแล้วมันไปไหน แล้วเวลามันเป็นไป มันรู้จริงของมันตามความเป็นจริงของมัน มันชำระล้างของมัน มันคืออะไร

นี่มันชัดเจน เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกกลางหัวอกนี้ไง มันถึงมีคุณค่าไง ที่ว่ามนุษย์มีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้ไง แต่ถ้าเทวดา อินทร์ พรหมเขามีความสุขของเขา นรกอเวจีก็มีทุกข์ของเขา เราเป็นมนุษย์ เราต้องมีอาชีพ เราก็ทุกข์ยากอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่งคือว่าเวรกรรมของเรา แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญารักษาของเรานะ เหมือนอากาศ ใครๆ ก็มีสิทธิ ทุกคนมีสิทธิหายใจ ทุกคนสามารถเอาอากาศมาเป็นประโยชน์กับเราได้ จิตใจของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ...นี่วางไว้

“อานนท์ ไม่มีกำมือในเรา ไม่มีกำมือในเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรม ไม่มีในกำมือ ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น วางหมด เราแบมือตลอด”

พวกเราไม่มีปัญญา บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระพุทธเจ้าฝากไว้ ท่านแบไว้ กางแผ่ไว้ แล้วเราจะจับต้อง เราพยายามแสวงหา การแสวงหาด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความเป็นจริงของเราในหัวใจของเรา ทำขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา

เราเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เห็นไหม มนุษย์มีคุณค่าอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้ เพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา เอวัง